การตอบข้อสอบกฏหมายในชั้นปริญญาตรีนี้ โดยทั่วไปจะมีการเขียนตอบอยู่ 2 แบบซึ่ง
ได้แก่ การเขียนตอบปัญหากฏหมายความจำ และ การเขียนตอบปัญหากฏหมายวินิจฉัย
-ข้อสอบความจำ ก็คือ ข้อสอบที่ออกมาเพื่อทดสอบความรู้ ความเข้าใจ และความจำนักศึกษา โดย
จะมีลักษณะแบบถามตรง เพื่อให้นักศึกษาตอบได้เลยโดยไม่มีการวินิจฉัยเหมือนข้อสอบตุ๊กตาหรือ
อุทาหรณ์ เช่น ถามว่ากฏหมายคืออะไร เป็นต้น การตอบข้อสอบความจำนี้ มักจะเขียนแบบส่วนเดียว
แบบอธิบาย หรือสองส่วนอธิบายกับยกตัวอย่างก็ได้ แล้วแต่กรณี
-ข้อสอบวินิจฉัย คือข้อสอบลักษณะแบบตุ๊กตาหรืออุทาหรณ์นั้นเอง กล่าวคือเป็นข้อสอบที่ตั้งโจทย์คำ
ถามเป็นข้อเท็จจริงและให้เราจับประเด็นในการตอบ คิด วิเคราะห์ พิจารณาจากโจทย์ โดยการตอบใน
ลักษณะนี้โดยหลักจะเขียนแบ่งออกเป็นสามส่วนคือส่วนหลักกฏหมาย ส่วนวินิจฉัยและส่วนสรุป เพื่อจะ
ได้เห็นภาพ จะขอยกตัวเย่าง เช่น คำถามๆ ว่า เด็กชาย กบ อายุ 13 ปี ทำสัญญาซื้อรถจักรยาน 1 คัน
จาก นายจักร โดยที่บิดามารดามิได้รู้เห็นด้วย ดังนั้นสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีผลสมบูรณ์หรือไม่
แนวการตอบ
กรณีตามปัญหาดังกล่าว มีหลักกฏหมายตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะต้องนำมาประกอบ
การวินิจฉัยดังนี้
มาตรา 21 วางหลักไว้ว่า "ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับคำยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม
ก่อน
การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ ....."
วินิจฉัย
การที่เด็กชายกบ อายุ 13 ปี ทำสัญญาซื้อรถจักรยาน 1 คัน จาก นายจักรนั้นถือว่าเป็นการที่ผู้เยาว์
ได้ทำนิติกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมถึงจะทำให้นิติกรรมนั้น
สมบูรณ์ ตามมาตรา 21
เมื่อปรากฏว่าการทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้น เด็กชาย กบ มิได้ขอความยินยอมจากบิดามารดาก่อน
ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ดังนั้น สัญญาซื้อขายที่เด็กชาย กบ ทำขึ้นกับนายจักรจึงตกเป็นโมฆียะตาม
มาตรา 21
สรุป สัญญาซื้อขายดังกล่าวมีผลเป็นโมฆียะ
จากตัวอย่างจึงเห็นว่ามีสามส่วน ส่วนแรกยกหลักกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาคำถาม ส่วนที่สองวิจฉัย
คือปรับเอาหลักกฏหมายเข้ากับข้อเท็จจริงตามโจทย์ และได้คำตอบมา จึงสรุปอีกทีในส่วนที่สาม ครบ
สามส่วน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น