วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกอบรมวิชาว่าความ พ.ศ. 2529

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (3) และมาตรา 38 และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 คณะกรรมการสภาทนายความออกข้อบังคับว่าด้วยการฝึกอบรมวิชาว่าความไว้ ดังต่อไปนี้
     ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกอบรมวิชาว่าความ พ.ศ. 2529'
     ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
     ข้อ 3 ในข้อบังคับนี้
          `สำนักฝึกอบรม' หมายถึง สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
          `คณะกรรมการ' หมายถึง คณะกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ ซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมและบริหารกิจการตาม ข้อบังคับนี้
          `ผู้อำนวยการ' หมายถึง ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ ซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความแต่งตั้ง
                                  หมวด 1
                     สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ               
     ข้อ 4 ให้สภาทนายความจัดตั้งสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ เรียกว่า `สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ' เพื่อฝึกอบรมหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการว่าความ ฝึกอบรมมารยาททนายความ และการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย
     ข้อ 5 ผู้เข้ารับการฝึกอบรมวิชาว่าความ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
          (1) มีสัญชาติไทย
          (2) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์ หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ ซึ่งเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษา ซึ่งสภาทนายความเห็นว่าสถาบันการศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับ ปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรควรเป็นทนายความได้
          (3) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี และไม่เป็นผู้ได้กระทำการใดซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อ สัตย์สุจริต
          (4) ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
          (5) ไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
     ผู้เข้ารับการฝึกอบรมวิชาว่าความซึ่งได้ผ่านการฝึกอบรมที่จัดโดยสำนักฝึก อบรมตามหลักสูตรและวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้เท่านั้นมีสิทธิขอจด ทะเบียนเป็นทนายความ เว้นแต่ ผู้ที่ได้เคยปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาลมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี อาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาสั่งยกเว้นให้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนาย ความได้โดยไม่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมตามข้อบังคับนี้
     ข้อ 6 ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารกิจการของสำนักฝึกอบรมตามนโยบายหรือมติของคณะกรรมการ
     ข้อ 7 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการสภาทนายความ เรียกว่า `คณะกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมแห่งสภาทนายความ' ประกอบด้วย ผู้อำนวยการซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ และกรรมการอื่นซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความแต่งตั้งรวมไม่เกิน 15 คน ทั้งนี้ ให้นายก อุปนายก เลขาธิการสภาทนายความเป็นที่ปรึกษาโดยตำแหน่ง
     ข้อ 8 ให้คณะกรรมการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระของคณะกรรมการสภาทนายความซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่ง
     คณะกรรมการสภาทนายความอาจมีมติให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งคณะ พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระก็ได้ และจะแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นกรรมการแทนกรรมการที่ตาย ลาออกหรือต้องพ้นตำแหน่งก่อนวาระก็ได้ คณะกรรมการหรือกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งได้เท่าวาระ ของกรรมการที่ตนแทน
     ข้อ 9 ในกรณีที่คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ไม่ว่าจะเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือก่อนครบกำหนดวาระก็ตาม ให้ผู้อำนวยการยังคงรักษาการในตำแหน่งเช่นนั้นต่อไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการชุด ใหม่เข้ามารับหน้าที่
     ข้อ 10 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
           (1) กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการบริหารกิจการสำนักฝึกอบรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของสภาทนายความ
           (2) กำหนดรายละเอียดของหลักสูตรการศึกษาและฝึกอบรม ตลอดจนเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการศึกษาและฝึกอบรม ให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง
           (3) กำหนดค่าธรรมเนียมหรือค่าลงทะเบียนที่จะพึงเรียกเก็บจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมแต่ต้องไม่เกินสามพันบาท
           (4) จัดทำประมาณการรายรับ-รายจ่าย และรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของสำนักฝึกอบรมเสนอต่อคณะกรรมการสภาทนาย ความเพื่อให้ความเห็นชอบ
           (5) จัดทำรายงานการฝึกอบรมเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสภาทนายความ
           (6) คัดเลือก แต่งตั้ง และสับเปลี่ยนผู้บรรยาย ผู้ทดสอบและผู้ควบคุม หรือผู้ให้การฝึกอบรมตามที่เห็นสมควร
           (7) แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษาซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งได้ตามที่เห็นสมควร
           (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่จำเป็นและสมควร เพื่อให้กิจการของสำนักฝึกอบรมสำเร็จผลลงด้วยดี
     ข้อ 11 ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้กำหนดนัดและเรียกประชุมคณะกรรมการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
     ในการประชุมคณะกรรมการจะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งจึง จะเป็นองค์ประชุมให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการที่ผู้อำนวยการมอบหมายทำหน้าที่ เป็นประธานที่ประชุม
     มติของที่ประชุมคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานที่ประชุมมีสิทธิออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
                                  หมวด 2
                                  หลักสูตร
                       
     ข้อ 12 ให้สำนักฝึกอบรมจัดให้มีการฝึกอบรมวิชาว่าความเป็นประจำทุกปี ปีละไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง
     ข้อ 13 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชาว่าความ แบ่งเป็น 2 ภาค ดังนี้
           (1) ภาคทฤษฎี ให้สำนักฝึกอบรมกำหนดการอบรมภาคทฤษฎี โดยมีระยะเวลาให้ฝึกอบรไม่น้อยกว่า 90 ชั่วโมง ในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
               ก. มรรยาทและจริยธรรมทนายความ
               ข. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
               ค. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
               ง. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายอื่น
               จ. หลักการให้คำปรึกษากฎหมาย
           (2) ภาคปฏิบัติ ให้ฝึกอบรมภาคปฏิบัติเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
     การฝึกอบรมภาคปฏิบัติอาจกระทำได้โดยให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฝึกหัดงานที่ สำนักฝึกอบรมหรือที่สำนักงานทนายความก็ได้ แต่ระยะเวลาฝึกหัดงานแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทั้งสองแห่งรวมกันต้องไม่น้อยกว่า ระยะที่กำหนดในวรรคแรก
                                  หมวด 3
                                  เบ็ดเตล็ด
     ข้อ 14 คณะกรรมการมีสิทธิที่จะคัดชื่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมออกจากทะเบียน หรือสั่งพักการฝึกอบรมได้ ตามระยะเวลาที่เห็นสมควรหากปรากฏว่าผู้เข้ารับการฝึกอบรมขาดคุณสมบัติหรือ ประพฤติตนไปในทางที่อาจจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความเสียหายแก่สำนัก ฝึกอบรมหรือแก่สภาทนายความ
     ข้อ 15 ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกาศกำหนดเวลาทำการของสำนักฝึก อบรม กำหนดเวลาฝึกอบรม กำหนดการสอบและการวัดผล กำหนดการสัมมนาหรือการประชุม ตลอดจนวันหยุดทำการแต่ละปี เป็นการล่วงหน้า
                                  หมวด 4
                                บทเฉพาะกาล          
     ข้อ 16 ให้ผู้ที่ผ่านการอบรมวิชาว่าความของสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย รุ่น 11 และรุ่น12 ประจำปี 2527 และปี 2528 ตามลำดับ และได้รับวุฒิบัตรแล้ว เป็นผู้ผ่านการฝึกอบรมวิชาว่าความตามข้อบังคับนี้
                              ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2529
                                        คำนวณ ชโลปถัมภ์
                                       นายกสภาทนายความ

ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2535

   อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 27 มาตรา 38 และด้วยความเห็นชอบ ของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528 คณะกรรมการสภาทนายความจึงออกข้อบังคับว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนาย ความ ไว้ดังต่อไปนี้
     ข้อ 1  ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนาย ความ พ.ศ.2535'
     ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
     ข้อ 3  ให้ยกเลิก
     ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529
     ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2531
     ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532
     ข้อ 4  ในข้อบังคับนี้
          `ฝึกหัดงาน' หมายถึง ฝึกอบรมหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการว่าความ ฝึกอบรมมรรยาททนายความ และการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย
          `ผู้เข้ารับการฝึกหัด' หมายถึง ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ
          `สำนักงาน' หมายถึง สำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงาน
          `คณะกรรมการ' หมายถึง คณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
          `ประธานกรรมการ' หมายถึง ประธานคณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
     ข้อ 5  ผู้เข้ารับการฝึกหัดในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งจะขอจดทะเบียน และรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับดังต่อไปนี้
              (1) ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องเป็นผู้ได้เข้ารับการฝึกหัดงานหลักจากสำเร็จการ ศึกษา ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ซึ่งเทียบได้ ไม่ต่ำกว่า ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษาซึ่งสถาบันการศึกษาซึ่งสภาทนายความเห็นว่า สถาบัน การศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือ ประกาศนียบัตรควรเป็นทนาย ความได้
              (2)  ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความซึ่งผู้ควบคุมการฝึก หัดงานต้องมีใบอนุญาตให้เป็นทนายความเป็นเวลารวมกันไม่น้อยกว่า 7 ปี
              (3) (ก) ให้ผู้เข้ารับการฝึกหัดแจ้งชื่อ ที่อยู่ พร้อมหลักฐานแสดงคุณวุฒิการศึกษา ของผู้เข้ารับการฝึกหัด และชื่อ ที่อยู่ โดยละเอียดของสำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงานพร้อมหนังสือ รับรองและสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ต่อสภาทนายความภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึกหัดงาน
                  (ข)  เมื่อผู้เข้ารับการฝึกหัดได้ฝึกหัดงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1ปี จะขอจด ทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ให้นำหนังสือรับรองการเข้าฝึกหัดงานของผู้ควบคุมการฝึก หัดงานและรายละเอียดการฝึกหัดงานตลอดระยะเวลา 1 ปี มาแสดงพร้อมกับคำขอจดทะเบียนและ รับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
                  (ค)  การแจ้งการเข้าฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความและการรับรอง ของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ให้ทำเป็นหนังสือตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด
                  (ง)  ผู้เข้ารับการฝึกหัดผู้ใด อ้างว่าได้เข้ารับการฝึกหัดงานมาก่อนแล้วแต่ มิได้แจ้งการเข้ารับการฝึกหัดงานให้สภาทนายความทราบภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึก หัดงานให้คณะกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยว กับการฝึกหัดงานของ ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะกรรมการสภาทนายความพิจารณาผ่อนผันในเรื่อง การนับระยะเวลาการเข้าฝึกหัดงานให้เป็นการเฉพาะราย
     ข้อ 6  ให้ผู้ที่ได้ฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และได้ปฏิบัติถูก ต้องครบถ้วนตามข้อกำหนดในข้อ 5 มีสิทธิขอจดทะเบียนเป็นทนายความได้เมื่อได้ผ่านการทดสอบ และสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนด
     ผู้สมัครเข้ารับการทดสอบตามวรรคหนึ่ง ต้องเสียค่าลงทะเบียนสอบครั้งละ 500 บาท
     ข้อ 7  ให้ `ผู้อำนวยการและคณะกรรมการ' ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึก อบรมวิชาว่าความ พ.ศ.2529  เป็นประธานกรรมการและคณะกรรมการตามข้อบังคับนี้ด้วย'

                                ประกาศ ณ วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2535
                                         สัก  กอแสงเรือง
                                        นายกสภาทนายความ

หมายเหตุ:-  เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่ข้อบังคับสภาทนาย ความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529 ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2531 และข้อบังคับสภาทนายความว่า ด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แต่ละฉบับคงมีผลใช้บังคับเพียง บางข้อซึ่งบัญญัติไว้ในข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น  จึงเห็นสมควรรวบรวมข้อบัญญัติของข้อบังคับ ทั้งสามฉบับเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่สับสนและสะดวกต่อการใช้อ้างอิงต่อไปพร้อมกับปรับปรุงการ แก้ไขข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนปรับปรุง การทดสอบให้ได้มาตรฐาน โดยให้มีการอกประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ที่คณะกรรมการกำหนด จึงจำเป็นจะต้องกำหนดเงินค่าลงทะเบียนทดสอบเพิ่มจากเดิม 200 บาท (สองร้อยบาทถ้วน) เป็น 500 บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

About me

ประวัติ ผู้เขียนบล็อก


ทค.เอกภพ วงศ์สวัสดิ์


การศึกษาและการฝึกอบรม

[] นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) รุ่นที่ ๓๗ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

[] ประกาศนียบัตรวิชาว่าความ รุ่นที่ ๔๐ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ 

[] ประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ 





[] หลักสูตรที่ปรึกษากฎหมายของศาลเยาวชนและครอบครัว รุ่น 4

[] โครงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพ (สำหรับวิชาชีพนักกฎหมาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหง




************************* 

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ติดต่อ ผู้เขียนบล็อก

หากมีความประสงค์จะติดต่อผู้เขียน เพื่อสอบถาม ปรึกษาปัญหากฎหมาย คดีความต่างๆ หรือ มีอะไรแนะนำ สามารถติดต่อได้ E-mail  aegapoppp@gmail.com หรือ โทร. 089-9707519

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสายกฏหมาย

เว็บไซต์

- สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ และ สภาทนายความ 

   http://www.lawyers.in.th/new/ 

   หรือ Facebook https://www.facebook.com/training.lawyer  (สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความฯ)

- สำนักอบรมศึกษากฏหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และ เนติบัณฑิตยสภา

   http://www.thethaibar.or.th/thaibarweb/index.php?id=home

- สำนักงานศาลยุติธรรม

   http://www.coj.go.th/home/

- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

   http://joomla.ru.ac.th/law/

- สำนักงานอัยการสูงสุด

   http://www.ago.go.th/index.php

- ศาลปกครอง

   http://www.admincourt.go.th/00_web/

- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

   http://www.royalthaipolice.go.th/index01.php

- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

   http://www.krisdika.go.th/wps/portal/general

ประสบการณ์ตรงสอบปากเปล่า

        เนื่องจากผู้ที่สอบใบอนุญาตว่าความได้นั้น ไม่ว่าจะสอบได้แบบรุ่นหรือแบบปีก็ตาม ต่อมาก็จะ

ต้องมีการสอบปากเปล่าอีกขั้นหนึ่ง ก่อนจะวันที่ได้รับประกาศนียบัตรฯ ซึ่งการสอบเปล่านั้นดูจากชื่อเชื่อ

ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นเต้น ไม่เป็นอันทำอะไร กังวลว่าจะจะถามเราแนวไหน ถามอะไร อายไม่

กล้าพูด กลัวพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ หรือกังวลไปสารพัดอย่าง ซึ่งจากที่เห็นหลายๆคนที่ผ่านตรงจุดนั้นมา

แล้ว ก็ล้วนแต่มาแชร์ในทำนองเดียวกันว่า มีอาการประมาณที่เล่ามาเมื่อกี้ ซึ่งประสบการณ์ตรงของผม

เอง ถามว่ามีความรู้สึกแค่ไหนในการสอบปากเปล่า ? ก็อยากจะตอบว่าผมไม่ได้มีอาการตื่นเต้นและ

กังวลมากไป แต่ก็มีอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะผมมีความคิดว่า ถึงอย่างไรๆวันนี้เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ อีก

ทั้งมีรุ่นพี่คนก่อนๆหน้ารายคนมักจะบอกต่อกันว่า "สุดท้ายก็ได้หมดทุกคนแหละ" ตรงนี้ลดความกดดัน

ผมไปได้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในใจลึกๆก็หวั่นๆนิดนึง

        การสอบปากเปล่า โดยส่วนมากมักจะมีการพูดกันต่อๆกันมาว่า ไม่มีปัญหา เพราะอาจารย์เขา

พยายามอยากให้เด็กผ่านกันทุกคนถึงกับบอกว่า "ขอให้สอบข้อเขียนให้ได้ก็พอ ปากเปล่าไม่ใช่ปัญหา"

ซึ่งในทางความเป็นจริง ผมเองได้ข่าวจากรุ่นพี่บางคนว่า มีการเข้าห้องเย็นแล้วเหมือนกัน ขอขยาย

ความนิด ห้องเย็น คือ ห้องสอบปากเปล่าห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องสอบสำหรับคนที่สอบปากเปล่ากับ

กรรมการครั้งแรกไม่ผ่าน จึงส่งตัวมาสอบปากเปล่าห้องเย็นซึ่งมีกรรมการคุมสอบ 5 คน ในตอนแรกจะ

ได้สอบกับกรรมการ 2 คน แต่สำหรับคนไม่ผ่านปากเปล่า เคยได้ยินจากรุ่นพี่คนหนึ่งมาเหมือนกันว่า ไม่

ผ่านก็มี แต่อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน

        จากการที่ผมได้ไปสอบปากเปล่ามานั้น เนื่องจากผมสามารถสอบใบอนุญาตว่าความได้ทั้ง 2

สนาม คือทั้งแบบรุ่น และ แบบปี ทางสำนักฝึกอบรมฯจึงให้กรณีผู้ผ่านการสอบทั้งสองสนามดังกล่าว

เข้าสอบของแบบปี จริงๆแล้วก่อนหน้าเคยมีรุ่นพี่บอกผมว่าของปีกับของรุ่น ของปีจะถามปากเปล่า

จำนวนข้อเยอะกว่าและเคี้ยวกว่าแบบรุ่น แต่ในรุ่นและปีที่ผมสอบนั้นเห็นว่าน่าจะใช้คำถามข้อเดียวกัน

ข้อนึง จะเล่าให้ต่อในตอนหลัง โดยสำนักฝึกอบรมฯได้จัดการสอบปากเปล่าที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

โดยต้องไปรายงานตัวระหว่างเวลา 8.00 - 8.30 น เห็นว่าหากมาช้ากว่านี้จะไม่อนุญาตให้เข้าสอบไม่

ว่ากรณีใดๆ ผมต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เตรียมตัวอะไรเสร็จก็ออกไปกับแฟนเลย โดยนั่งแท็กซี่ไป

ตั้งแต่เวลา 6 โมงครึ่ง ปรากฏว่าไปถึงก่อนเวลาใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ไปถึงเวลา 7 โมง ซึ่งนั่งรถจากหน้า

รามคำแหงมา เหลือเวลาเพียบ (ก่อนหน้าแทบไม่ได้หลับนอนเลย เพราะช่วงนั้นบริหารการนอนไม่ดี

นอนผิดเวลา) พอมาถึงแรกๆไม่ค่อยเห็นใครมาเยอะมาก พอเวลาผ่านไปก็เดินไปหาตึกสอบโดยตาม

คนที่เดินกันต่อๆตามกัน ตึกอาคารสอบ หรูเอาการอยู่ สมแล้วเป็นเมืองทอง เมื่อเดินเข้าไปในตึกสอบ

ขึ้นบรรไดเลื่อนก็ปรากฏว่าเจอผู้คนอยู่กันเยอะมากอยู่ทุกทิศทางเลย ที่นั่งก็ไม่มีเพราะคนนั่งกันเต็มหมด

มีบางคนพาญาติพาเพื่อนฝูงกันมาด้วย เห็นอยู่มุมหนึ่งมีขนมปัง กาแฟ ตั้งไว้บนโต๊ะ ไว้สำหรับผู้ที่มา

สอบปากเปล่า ซึ่งก็หยิบมากินกัน แต่ผมไม่กินนะครับ เพราะไม่อยากกินเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นนะ

แต่รู้สึกกินอะไรไม่ได้มากกว่า ต่อมาผมก็พาแฟนไปหาที่นั่งกันพลางๆจนกว่าจะรอเรียกลงชื่อรายงานตัว

ก็ได้พบที่นั่งจนได้แต่เป็นพื้นปูนเย็นๆนะซึ่งผมก็ได้พบกับรุ่นพี่ผู้ใหญ่ 2 คน ก็นั่งใกล้ๆกันก็ชวนคุยไป

เรื่อยๆ(ดูเหมือนจะรบกวนเขาด้วยนะ เห็นกำลังอ่านหนังสือเคร่งๆกันอยู่)ก็คุยกันไปเรื่องขอบเขตสอบ

เปล่าและเรื่องอื่นๆกันไป จนมาถึงเวลาลงชื่อรายงานตัวก็เข้าแถวกันเยอะแยะเต็มกันไปหมด ของผมก็

ให้ไปรายงานของสำนักงาน 1 ปี (ตั๋วปี) แถว A ซึ่งมีคนไม่เยอะเท่าไหร่ ลงเสร็จก็รอเข้าห้อง ห้องที่ผม

เข้าไปนี้ไม่ใช่ห้องสอบทีนะครับ แต่เป็นห้องที่มานั่งเรียงกันมีคนชี้แจง แต่เวลาสอบจะนำพาไปสอบทีละ

แถว อาจารย์ที่ชี้แจงก็บรรยายสาธยายไปเรื่อยๆเหมือนชวนคุย แต่ก็มีพูดให้ใจหายนิดๆเหมือนกันเรื่อง

การสอบปากเปล่าไม่ผ่านอะไรประมาณนั้น

           และแล้วเมื่อได้เวลาที่เขาเรียกให้เข้าสอบทีละแถว ลืมบอกไป ผู้ที่สอบของสำนักงาน 1 ปีจะนั่ง

แถวหน้า ส่วนแบบรุ่นจะนั่งข้างหลัง ดังนั้นแน่นอนว่าผมก็ได้สอบก่อนอยู่ต้นๆแถวเลยครับ แต่ของรุ่นเอง

ก็เรียกไปทีละแถวพร้อมๆกับแบบปีครับ แต่ของปีสอบไม่กี่คนเพราะคนสอบได้สนามนี้มีน้อย จึงไม่นานก็

หมด เมื่อเข้าสอบไปแล้วแถวแรก ต่อมาก็เรียกแถวที่สองเข้าห้องสอบ เชื่อไหมตัดอยู่ที่คนนั่งข้างผมพอ

ดีเป็นพี่ผู้ใหญ่ดูใจดีคนหนึ่ง ผมก็ชวนนั่งคุยกับเขาไปเรื่อยๆ และแล้วก็ถึงคิวแถวผมละครับ แถวที่ 3 วินา

ทีนั้น ผมก็นึกซะว่าเอาวะๆยังไงๆก็ต้องผ่านทุกคน อีกอย่างผมคิดว่าถ้าเราผ่านข้อเขียนมาได้ อีกทั้ง

ความรู้เราก็พอที่จะวัดดวงได้ ไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ เมื่อเข้าไปในห้องสอบแล้วจะให้นั่งรอหน้าห้อง

สอบซึ่งคั่นระหว่างห้องที่ผู้สอบนั่งรอสอบกับห้องสอบไว้ รอให้คนก่อนหน้าสอบเสร็จจึงได้เข้าไป และ

แล้วถึงคิวผม วินาทีนี้เป็นต้นไปอ่านกันดูๆนะครับถึงจุดคลายแม็กล่ะ!!!

          "ผมได้เดินเข้าไปหาอาจารย์กรรมการซึ่งนั่งคู่กันอยู่ 2 ท่าน ดูท่านทั้งสองมีอายุแล้วและดูใจดี

ด้วยนะครับ ยิ้มแย้มดูไม่ดุด้วย คิดในใจน่าจะโชคดีละ ทันทีที่เดินไปที่นั่งสอบ ผมก็แสดงความเคารพ

ด้วยการไหว้ ท่านทั้งสองคนแล้วพูดว่า "สวัสดีครับอาจารย์" แล้วผมก็นั่งลงที่เก้าอี้ ท่านคนที่สอง ก็ถาม

ผมว่า"ชื่ออะไรครับ" ผมก็ตอบ และท่านก็ถามคำถามอื่นๆทั้งหมดว่า "จบมาจากที่มหาวิทยาลัยที่ไหน" 

"จบปีไหน" "ฝึกที่สำนักงานไหนและอยู่แถวไหน" "คดีเข้าสำนักงานเยอะไหม" "เคยทำคดีให้เขาไหม" 

ทั้งหมดที่ท่านคนที่สองถามมานั้นเป็นคำถามเกริ่นๆทั่วไปก่อน และผมก็ตอบตามที่ถามไปซึ่งก็ไม่ได้ยาก

อะไรตรงนี้ ต่อมาท่านคนที่สองจึงหยิบกระดาษคำถามขึ้นมา ปรากฏว่าคำถามที่ท่านจะหยิบมานั้น คน

ก่อนหน้าพากระดาษคำถามไปด้วย กำละ (-.-") ..... ท่านคนที่สองก็เลยไปให้เขาประกาศให้คนก่อน

หน้าเอากระดาษคำถามมาคืนด้วย ผมสันนิษฐานว่า สงสัยสอบผ่านดีใจตื่นเต้นเกินไปหน่อยนำเอา

กระดาษคำถามไปด้วย ผมขำในใจมาก ในระหว่างท่านคนที่สองเดินไปเพื่อขอให้เขาประชาสัมพันธ์ถึง

คนสอบก่อนหน้าผมให้เอากระดาษมาคืน จึงเหลือท่านแรกๆ จึงไม่ให้เสียเวลา จึงฉีกกระดาษคำถาม

แล้วให้ผมตอบตามที่ถามในกระดาษแทน ปรากฏว่าเมื่อผมดูคำถามแล้ว เป็นคำถามที่เห็นแล้ว ดีใจขึ้น

มาปั้บเลย เนื่องจากเป็นคำถามที่ผมเตรียมมาด้วย ซึ่งคำถามก็จะถามได้ใจความว่า "อธิบายถึงสิทธิของ

ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกขังตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 7/1 มีอะไรบ้าง" ซึ่งคำ

ถามนี้ผมจำตัวบทได้ก็เลยตอบไปค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งท่านแรกก็บอกผมว่า "ตอบถูกหมดเลยเนี้ย ไปได้

เลย" ผมก็ดีใจมากครับ ก็เดินออกไปตามสเต็ป จากนั้นก็เอาเอกสารที่เขาแจกข้างหน้ามากรอกเพื่อเสีย

ค่าทำเนียบรุ่นและค่าประกาศนียบัตรรวม 500 บาท ก่อนกลับด้วย เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็กลับบ้าน แต่

ก่อนกลับผมได้ฝากมือถือไว้กลับพนักงานของสภาทนายความ ซึ่งสอบเสร็จผมไม่ลืมกลับมาเอา จึง

อยากเตือนให้คนที่ไปสอบปากเปล่าเสร็จแล้วอย่าลืมเอาของที่ฝากด้วยนะครับ เดี๋ยวดีใจมากจนลืมของ

ที่ฝาก ส่วนปากเปล่าที่ผมสอบเสร็จนั้นใช้เวลาเร็วมากครับ เนื่องจากได้สอบเป็นคนต้นๆของแถวด้วย 

ผมได้กลับบ้านประมาณ 9 โมงกว่าๆเองครับ เห็นว่าสอบเสร็จทั้งหมดก็ประมาณบ่ายๆ ก็ถือว่าคนที่สอบ

หลังๆก็ได้กลับช้านะครับ "

****************

และทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผมครับในวันสอบปากเปล่าทนายความ จึงขอแชร์ให้

คนที่อยากรู้ว่าบรรยากาศการสอบเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นในวันสอบบ้าง ขอบคุณที่ได้อ่าน

บทความครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คำถามที่ถามบ่อย ?

Q:การขอตรวจสมุดคำตอบนั้น เมื่อได้รับสมุดคำตอบแล้วจะขอคัดถ่ายสำเนาจากสมุดคำตอบได้หรือ

ไม่ เพียงใด

A:ไม่ได้ แต่ไม่ห้ามที่จะขอคัดเขียนหรือจดใส่กระดาษได้

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:ถ้าสอบไม่ผ่านภาคปฏิบัติหรือขาดสอบนั้น จะขอรักษาสถานภาพได้หรือไม่

A:ได้ ไม่ต้องสอบใหม่ภาคทฤษฎี

-------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

Q:สำหรับการสอบแบบสำนักงาน 1 ปี ถ้าไม่ผ่านจะมีสิทธิสอบครั้งต่อไปไหม แล้วต้องลงฝึกงานใหม่

หรือไม่

A:มีสิทธิ และ ไม่ต้องฝึกงานใหม่ รอทางสำนักฝึกอบรมฯประกาศลงทะเบียนสอบครั้งต่อไป

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:ข้อสอบแบบรุ่นและแบบสำนักงาน 1 ปี เหมือนกันหรือไม่

A:ข้อสอบแนวเดียวกัน แต่กรณีการสอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีจะเขียนลงในสมุดคำตอบ แต่ภาคปฏิบัติและ

แบบสำนักงาน 1 ปี เขียนลงในแบบพิมพ์ศาลและกระดาษเปล่า เหมือนกัน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:ข้อสอบแบบรุ่นกับแบบปี แบบไหนยากกว่ากัน

A:ไม่แน่นอน(ความเห็นส่วนตัว) โดยส่วนมากจะพูดกันว่าแบบปียากกว่า แต่อาจจะไม่เสมอไป เพราะว่า

แบบรุ่นบางรุ่นถามยากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแบบปี

***ผู้เขียนมีเหตุผลสนับสนุนอยู่บ้าง อย่างกรณีมีผู้สอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ผ่าน

แต่สามารถสอบแบบปีได้(ผ่าน) และ อย่างล่าสุดครั้งที่ 2/56 มีผู้ผ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็น

ว่าไม่แน่นอนว่าแบบปีจะยากกว่าแบบรุ่น มิหนำซ้ำหลังๆมานี้แบบรุ่นมีผู้ผ่านค่อนข้างน้อย

***การคำนวณผู้ผ่านสำหรับแบบรุ่น อย่าลืมว่าต้องเฉลี่ยตั้งแต่คนสอบผ่านภาคทฤษฎีก่อนผ่านจำนวน

เท่าใด และเอาจำนวนนั้นมาคำนวณต่อในภาคปฏิบัติก็จะมีผู้ผ่านน้อยกว่าเดิม มีการกลั่นกรองถึง 2 ชั้น

ก็จะทราบยอดคนผ่านทั้งหมด สรุปง่ายๆ คนสอบภาคทฤษฎีมีจำนวนทั้งหมดเท่าใด เอามาเฉลี่ยดูกับคน

ที่สอบผ่านภาคปฏิบัติเท่าใดก็จะทราบเปอเซ็นต์ที่แท้จริง ประกอบกับว่า คนสอบแบบปีค่อนข้างน้อยกว่า

แบบรุ่นเยอะมาก จึงดูเหมือนว่าแบบปียากกว่าครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:การสอบปากเปล่ายากหรือไม่

A:ไม่น่าเกินความสามารถ เพราะเมื่อสอบข้อเขียนแบบรุ่นหรือแบบปีมาได้แล้ว การสอบปากเปล่าจึงไม่

มีอะไรเกินความสามารถ ไปลองจะรู้เอง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:ขอคำแนะนำ แนวการเขียนตอบข้อสอบทนายความ

A:ตามเว็บนี้เลย ดูตามหัวข้อต่างๆ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:สถานที่สอบของแบบรุ่นและแบบปีที่เดียวกันหรือไม่

A:สถานที่เดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (เดิมแบบปีสอบที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:การเขียนตอบระหว่างการสอบทนายกับเนติฯ อันไหนใช้เวลาเขียนมากกว่ากันจนอาจทำให้เขียนไม่

ทันเวลา

A:การสอบเนติฯใช้เวลามากกว่า เพราะมีคนสอบหลายคนทำไม่ทันเวลา แต่การสอบทนายไม่พบเจอ

มากเท่าที่เห็น

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:ผู้ที่สอบผ่านแบบรุ่นกับแบบปีมีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกันหรือไม่

A:มีศักดิ์และสิทธิ์ เหมือนกันทุกประการ ที่สามารถจะจดทะเบียนและอนุญาตให้เป็นทนายความได้ ตาม

กฏหมาย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------

Q:เกี่ยวกับคำว่า "ตั๋วทนาย" เป็นคำที่ใช้ได้เป็นทางการ หรือ เป็นคำที่ถูกต้องหรือไม่

A:อันนี้เป็นปัญหาที่มีกันมาตั้งยาวนานมาก ต้องทำความเข้าใจใหม่ เนื่องจากคำว่า "ตั๋วทนาย" ทาง

สภาทนายความจะชี้แจงให้ทราบว่า มีแต่ "ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ" ดังนั้น หากเวลาติดต่อการใช้

คำที่ถูกต้องหรือคำที่เป็นทางการนั้น ไม่ควรใช้คำว่า "ตั๋วทนาย" อาจจะใช้คำอื่น ซึ่งแยกเป็นประเภท 2

ประเภท คือ

- ประเภทรุ่น อาจจะเรียกว่า "สมัครสอบทนายความแบบ/ประเภทรุ่น" "สมัครสอบทนายภาคทฤษฎี"

หรือ ถ้าลงทะเบียนภาคปฏิบัติ เช่น "มาลงทะเบียนภาคปฏิบัติ" เป็นต้น

- ประเภทปี อาจจะเรียกว่า "ขอลงทะเบียนสอบของสำนักงาน 1 ปี" "สอบทนายความประเภทปี" เป็นต้น

***เพิ่มเติม เนื่องจากผู้เขียนในตอนที่อบรมจริยธรรมทนายความ ท่าน อ.เดชอุดม ไกรฤทธิ์ ได้บอกว่า

การใช้คำว่า ตํ๋วทนาย นั้นถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหรือดูถูกในวิชาชีพทนายความ เพราะใบอนุญาต

วิชาชีพทนายความเรานั้นมีค่ามากว่า "ตั๋ว" ซะอีก


--------------------------------------------------------------------------------------------------------


************หากมีคำถามไหนที่ถามบ่อยจะนำมาโพสต์ให้ในภายหลังอีก(ยังมีการอัพเดท)