อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 (3) และมาตรา 38
และด้วยความเห็นชอบของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ตามมาตรา 28
แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528
คณะกรรมการสภาทนายความออกข้อบังคับว่าด้วยการฝึกอบรมวิชาว่าความไว้
ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกอบรมวิชาว่าความ พ.ศ. 2529'
ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ในข้อบังคับนี้
`สำนักฝึกอบรม' หมายถึง สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
`คณะกรรมการ' หมายถึง
คณะกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
ซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมและบริหารกิจการตาม
ข้อบังคับนี้
`ผู้อำนวยการ' หมายถึง ผู้อำนวยการสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ ซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความแต่งตั้ง
หมวด 1
สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
ข้อ 4 ให้สภาทนายความจัดตั้งสำนักฝึกอบรมวิชาว่าความ เรียกว่า
`สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ'
เพื่อฝึกอบรมหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการว่าความ ฝึกอบรมมารยาททนายความ
และการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย
ข้อ 5 ผู้เข้ารับการฝึกอบรมวิชาว่าความ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
(1) มีสัญชาติไทย
(2)
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์
หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ ซึ่งเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี
หรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษา
ซึ่งสภาทนายความเห็นว่าสถาบันการศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับ
ปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรควรเป็นทนายความได้
(3) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
และไม่เป็นผู้ได้กระทำการใดซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อ
สัตย์สุจริต
(4) ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
(5) ไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจแก่สังคม
ผู้เข้ารับการฝึกอบรมวิชาว่าความซึ่งได้ผ่านการฝึกอบรมที่จัดโดยสำนักฝึก
อบรมตามหลักสูตรและวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้เท่านั้นมีสิทธิขอจด
ทะเบียนเป็นทนายความ เว้นแต่
ผู้ที่ได้เคยปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาลมาแล้วไม่น้อยกว่า 2
ปี
อาจขอให้คณะกรรมการพิจารณาสั่งยกเว้นให้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนาย
ความได้โดยไม่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมตามข้อบังคับนี้
ข้อ 6 ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารกิจการของสำนักฝึกอบรมตามนโยบายหรือมติของคณะกรรมการ
ข้อ 7
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการสภาทนายความ เรียกว่า
`คณะกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมแห่งสภาทนายความ' ประกอบด้วย
ผู้อำนวยการซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการ
และกรรมการอื่นซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความแต่งตั้งรวมไม่เกิน 15 คน ทั้งนี้
ให้นายก อุปนายก เลขาธิการสภาทนายความเป็นที่ปรึกษาโดยตำแหน่ง
ข้อ 8 ให้คณะกรรมการดำรงตำแหน่งเท่ากับวาระของคณะกรรมการสภาทนายความซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งให้เข้ารับตำแหน่ง
คณะกรรมการสภาทนายความอาจมีมติให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งคณะ
พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระก็ได้
และจะแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นกรรมการแทนกรรมการที่ตาย
ลาออกหรือต้องพ้นตำแหน่งก่อนวาระก็ได้
คณะกรรมการหรือกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งแทนนี้ให้อยู่ในตำแหน่งได้เท่าวาระ
ของกรรมการที่ตนแทน
ข้อ 9 ในกรณีที่คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ
ไม่ว่าจะเป็นการพ้นจากตำแหน่งตามวาระหรือก่อนครบกำหนดวาระก็ตาม
ให้ผู้อำนวยการยังคงรักษาการในตำแหน่งเช่นนั้นต่อไปจนกว่าจะมีคณะกรรมการชุด
ใหม่เข้ามารับหน้าที่
ข้อ 10 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) กำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการบริหารกิจการสำนักฝึกอบรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของสภาทนายความ
(2) กำหนดรายละเอียดของหลักสูตรการศึกษาและฝึกอบรม
ตลอดจนเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการศึกษาและฝึกอบรม
ให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริง
(3) กำหนดค่าธรรมเนียมหรือค่าลงทะเบียนที่จะพึงเรียกเก็บจากผู้เข้ารับการฝึกอบรมแต่ต้องไม่เกินสามพันบาท
(4) จัดทำประมาณการรายรับ-รายจ่าย
และรายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของสำนักฝึกอบรมเสนอต่อคณะกรรมการสภาทนาย
ความเพื่อให้ความเห็นชอบ
(5) จัดทำรายงานการฝึกอบรมเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสภาทนายความ
(6) คัดเลือก แต่งตั้ง และสับเปลี่ยนผู้บรรยาย ผู้ทดสอบและผู้ควบคุม หรือผู้ให้การฝึกอบรมตามที่เห็นสมควร
(7) แต่งตั้งและถอดถอนที่ปรึกษาหรือคณะที่ปรึกษาซึ่งคณะกรรมการแต่งตั้งได้ตามที่เห็นสมควร
(8) ปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่จำเป็นและสมควร เพื่อให้กิจการของสำนักฝึกอบรมสำเร็จผลลงด้วยดี
ข้อ 11 ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้กำหนดนัดและเรียกประชุมคณะกรรมการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ในการประชุมคณะกรรมการจะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งจึง
จะเป็นองค์ประชุมให้ผู้อำนวยการหรือกรรมการที่ผู้อำนวยการมอบหมายทำหน้าที่
เป็นประธานที่ประชุม
มติของที่ประชุมคณะกรรมการให้ถือเสียงข้างมาก
ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน
ให้ประธานที่ประชุมมีสิทธิออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
หมวด 2
หลักสูตร
ข้อ 12 ให้สำนักฝึกอบรมจัดให้มีการฝึกอบรมวิชาว่าความเป็นประจำทุกปี ปีละไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง
ข้อ 13 หลักสูตรการฝึกอบรมวิชาว่าความ แบ่งเป็น 2 ภาค ดังนี้
(1) ภาคทฤษฎี ให้สำนักฝึกอบรมกำหนดการอบรมภาคทฤษฎี
โดยมีระยะเวลาให้ฝึกอบรไม่น้อยกว่า 90 ชั่วโมง ในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ก. มรรยาทและจริยธรรมทนายความ
ข. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ค. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ง. วิธีดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายอื่น
จ. หลักการให้คำปรึกษากฎหมาย
(2) ภาคปฏิบัติ ให้ฝึกอบรมภาคปฏิบัติเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
การฝึกอบรมภาคปฏิบัติอาจกระทำได้โดยให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฝึกหัดงานที่
สำนักฝึกอบรมหรือที่สำนักงานทนายความก็ได้
แต่ระยะเวลาฝึกหัดงานแห่งใดแห่งหนึ่งหรือทั้งสองแห่งรวมกันต้องไม่น้อยกว่า
ระยะที่กำหนดในวรรคแรก
หมวด 3
เบ็ดเตล็ด
ข้อ 14
คณะกรรมการมีสิทธิที่จะคัดชื่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมออกจากทะเบียน
หรือสั่งพักการฝึกอบรมได้
ตามระยะเวลาที่เห็นสมควรหากปรากฏว่าผู้เข้ารับการฝึกอบรมขาดคุณสมบัติหรือ
ประพฤติตนไปในทางที่อาจจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความเสียหายแก่สำนัก
ฝึกอบรมหรือแก่สภาทนายความ
ข้อ 15
ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกาศกำหนดเวลาทำการของสำนักฝึก
อบรม กำหนดเวลาฝึกอบรม กำหนดการสอบและการวัดผล กำหนดการสัมมนาหรือการประชุม
ตลอดจนวันหยุดทำการแต่ละปี เป็นการล่วงหน้า
หมวด 4
บทเฉพาะกาล
ข้อ 16
ให้ผู้ที่ผ่านการอบรมวิชาว่าความของสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย รุ่น 11
และรุ่น12 ประจำปี 2527 และปี 2528 ตามลำดับ และได้รับวุฒิบัตรแล้ว
เป็นผู้ผ่านการฝึกอบรมวิชาว่าความตามข้อบังคับนี้
ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2529
คำนวณ ชโลปถัมภ์
นายกสภาทนายความ
Aegapop
วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2535
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 27 มาตรา 38
และด้วยความเห็นชอบ ของสภานายกพิเศษแห่งสภาทนายความ ตามมาตรา 28
แห่งพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2528
คณะกรรมการสภาทนายความจึงออกข้อบังคับว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนาย
ความ ไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนาย ความ พ.ศ.2535'
ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิก
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2531
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532
ข้อ 4 ในข้อบังคับนี้
`ฝึกหัดงาน' หมายถึง ฝึกอบรมหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการว่าความ ฝึกอบรมมรรยาททนายความ และการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย
`ผู้เข้ารับการฝึกหัด' หมายถึง ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ
`สำนักงาน' หมายถึง สำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงาน
`คณะกรรมการ' หมายถึง คณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
`ประธานกรรมการ' หมายถึง ประธานคณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
ข้อ 5 ผู้เข้ารับการฝึกหัดในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งจะขอจดทะเบียน และรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับดังต่อไปนี้
(1) ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องเป็นผู้ได้เข้ารับการฝึกหัดงานหลักจากสำเร็จการ ศึกษา ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ซึ่งเทียบได้ ไม่ต่ำกว่า ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษาซึ่งสถาบันการศึกษาซึ่งสภาทนายความเห็นว่า สถาบัน การศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือ ประกาศนียบัตรควรเป็นทนาย ความได้
(2) ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความซึ่งผู้ควบคุมการฝึก หัดงานต้องมีใบอนุญาตให้เป็นทนายความเป็นเวลารวมกันไม่น้อยกว่า 7 ปี
(3) (ก) ให้ผู้เข้ารับการฝึกหัดแจ้งชื่อ ที่อยู่ พร้อมหลักฐานแสดงคุณวุฒิการศึกษา ของผู้เข้ารับการฝึกหัด และชื่อ ที่อยู่ โดยละเอียดของสำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงานพร้อมหนังสือ รับรองและสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ต่อสภาทนายความภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึกหัดงาน
(ข) เมื่อผู้เข้ารับการฝึกหัดได้ฝึกหัดงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1ปี จะขอจด ทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ให้นำหนังสือรับรองการเข้าฝึกหัดงานของผู้ควบคุมการฝึก หัดงานและรายละเอียดการฝึกหัดงานตลอดระยะเวลา 1 ปี มาแสดงพร้อมกับคำขอจดทะเบียนและ รับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
(ค) การแจ้งการเข้าฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความและการรับรอง ของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ให้ทำเป็นหนังสือตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด
(ง) ผู้เข้ารับการฝึกหัดผู้ใด อ้างว่าได้เข้ารับการฝึกหัดงานมาก่อนแล้วแต่ มิได้แจ้งการเข้ารับการฝึกหัดงานให้สภาทนายความทราบภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึก หัดงานให้คณะกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยว กับการฝึกหัดงานของ ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะกรรมการสภาทนายความพิจารณาผ่อนผันในเรื่อง การนับระยะเวลาการเข้าฝึกหัดงานให้เป็นการเฉพาะราย
ข้อ 6 ให้ผู้ที่ได้ฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และได้ปฏิบัติถูก ต้องครบถ้วนตามข้อกำหนดในข้อ 5 มีสิทธิขอจดทะเบียนเป็นทนายความได้เมื่อได้ผ่านการทดสอบ และสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนด
ผู้สมัครเข้ารับการทดสอบตามวรรคหนึ่ง ต้องเสียค่าลงทะเบียนสอบครั้งละ 500 บาท
ข้อ 7 ให้ `ผู้อำนวยการและคณะกรรมการ' ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึก อบรมวิชาว่าความ พ.ศ.2529 เป็นประธานกรรมการและคณะกรรมการตามข้อบังคับนี้ด้วย'
ประกาศ ณ วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2535
สัก กอแสงเรือง
นายกสภาทนายความ
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่ข้อบังคับสภาทนาย ความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529 ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2531 และข้อบังคับสภาทนายความว่า ด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แต่ละฉบับคงมีผลใช้บังคับเพียง บางข้อซึ่งบัญญัติไว้ในข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น จึงเห็นสมควรรวบรวมข้อบัญญัติของข้อบังคับ ทั้งสามฉบับเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่สับสนและสะดวกต่อการใช้อ้างอิงต่อไปพร้อมกับปรับปรุงการ แก้ไขข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนปรับปรุง การทดสอบให้ได้มาตรฐาน โดยให้มีการอกประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ที่คณะกรรมการกำหนด จึงจำเป็นจะต้องกำหนดเงินค่าลงทะเบียนทดสอบเพิ่มจากเดิม 200 บาท (สองร้อยบาทถ้วน) เป็น 500 บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)
ข้อ 1 ข้อบังคับนี้เรียกว่า `ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนาย ความ พ.ศ.2535'
ข้อ 2 ข้อบังคับนี้ให้ใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิก
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2531
ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532
ข้อ 4 ในข้อบังคับนี้
`ฝึกหัดงาน' หมายถึง ฝึกอบรมหลักปฏิบัติเบื้องต้นในการว่าความ ฝึกอบรมมรรยาททนายความ และการประกอบวิชาชีพทางกฎหมาย
`ผู้เข้ารับการฝึกหัด' หมายถึง ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ
`สำนักงาน' หมายถึง สำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงาน
`คณะกรรมการ' หมายถึง คณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
`ประธานกรรมการ' หมายถึง ประธานคณะกรรมการทดสอบการฝึกหัดงาน
ข้อ 5 ผู้เข้ารับการฝึกหัดในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ซึ่งจะขอจดทะเบียน และรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับดังต่อไปนี้
(1) ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องเป็นผู้ได้เข้ารับการฝึกหัดงานหลักจากสำเร็จการ ศึกษา ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์หรือประกาศนียบัตรในวิชานิติศาสตร์ซึ่งเทียบได้ ไม่ต่ำกว่า ระดับปริญญาตรี หรืออนุปริญญาจากสถาบันการศึกษาซึ่งสถาบันการศึกษาซึ่งสภาทนายความเห็นว่า สถาบัน การศึกษานั้นมีมาตรฐานการศึกษาที่ผู้ได้รับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาหรือ ประกาศนียบัตรควรเป็นทนาย ความได้
(2) ผู้เข้ารับการฝึกหัดต้องฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความซึ่งผู้ควบคุมการฝึก หัดงานต้องมีใบอนุญาตให้เป็นทนายความเป็นเวลารวมกันไม่น้อยกว่า 7 ปี
(3) (ก) ให้ผู้เข้ารับการฝึกหัดแจ้งชื่อ ที่อยู่ พร้อมหลักฐานแสดงคุณวุฒิการศึกษา ของผู้เข้ารับการฝึกหัด และชื่อ ที่อยู่ โดยละเอียดของสำนักงานทนายความที่รับฝึกหัดงานพร้อมหนังสือ รับรองและสำเนาใบอนุญาตให้เป็นทนายความของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ต่อสภาทนายความภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึกหัดงาน
(ข) เมื่อผู้เข้ารับการฝึกหัดได้ฝึกหัดงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1ปี จะขอจด ทะเบียนและรับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ ให้นำหนังสือรับรองการเข้าฝึกหัดงานของผู้ควบคุมการฝึก หัดงานและรายละเอียดการฝึกหัดงานตลอดระยะเวลา 1 ปี มาแสดงพร้อมกับคำขอจดทะเบียนและ รับใบอนุญาตให้เป็นทนายความ
(ค) การแจ้งการเข้าฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความและการรับรอง ของผู้ควบคุมการฝึกหัดงาน ให้ทำเป็นหนังสือตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด
(ง) ผู้เข้ารับการฝึกหัดผู้ใด อ้างว่าได้เข้ารับการฝึกหัดงานมาก่อนแล้วแต่ มิได้แจ้งการเข้ารับการฝึกหัดงานให้สภาทนายความทราบภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันเริ่มเข้าฝึก หัดงานให้คณะกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายทำการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยว กับการฝึกหัดงานของ ผู้เข้ารับการฝึกหัดงานดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะกรรมการสภาทนายความพิจารณาผ่อนผันในเรื่อง การนับระยะเวลาการเข้าฝึกหัดงานให้เป็นการเฉพาะราย
ข้อ 6 ให้ผู้ที่ได้ฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และได้ปฏิบัติถูก ต้องครบถ้วนตามข้อกำหนดในข้อ 5 มีสิทธิขอจดทะเบียนเป็นทนายความได้เมื่อได้ผ่านการทดสอบ และสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐานที่คณะกรรมการกำหนด
ผู้สมัครเข้ารับการทดสอบตามวรรคหนึ่ง ต้องเสียค่าลงทะเบียนสอบครั้งละ 500 บาท
ข้อ 7 ให้ `ผู้อำนวยการและคณะกรรมการ' ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยการฝึก อบรมวิชาว่าความ พ.ศ.2529 เป็นประธานกรรมการและคณะกรรมการตามข้อบังคับนี้ด้วย'
ประกาศ ณ วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2535
สัก กอแสงเรือง
นายกสภาทนายความ
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้ข้อบังคับสภาทนายความฉบับนี้ คือ โดยที่ข้อบังคับสภาทนาย ความว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ พ.ศ.2529 ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2531 และข้อบังคับสภาทนายความว่า ด้วยการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แต่ละฉบับคงมีผลใช้บังคับเพียง บางข้อซึ่งบัญญัติไว้ในข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น จึงเห็นสมควรรวบรวมข้อบัญญัติของข้อบังคับ ทั้งสามฉบับเข้าด้วยกัน เพื่อจะได้ไม่สับสนและสะดวกต่อการใช้อ้างอิงต่อไปพร้อมกับปรับปรุงการ แก้ไขข้อบังคับดังกล่าวข้างต้นให้ได้มาตรฐานและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ตลอดจนปรับปรุง การทดสอบให้ได้มาตรฐาน โดยให้มีการอกประกาศนียบัตรแก่ผู้ผ่านการสอบได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน ที่คณะกรรมการกำหนด จึงจำเป็นจะต้องกำหนดเงินค่าลงทะเบียนทดสอบเพิ่มจากเดิม 200 บาท (สองร้อยบาทถ้วน) เป็น 500 บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน)
วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
About me
ประวัติ ผู้เขียนบล็อก
ทค.เอกภพ วงศ์สวัสดิ์
การศึกษาและการฝึกอบรม
[] นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) รุ่นที่ ๓๗ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[] ประกาศนียบัตรวิชาว่าความ รุ่นที่ ๔๐ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
[] ประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
[] หลักสูตรที่ปรึกษากฎหมายของศาลเยาวชนและครอบครัว รุ่น 4
[] โครงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพ (สำหรับวิชาชีพนักกฎหมาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ทค.เอกภพ วงศ์สวัสดิ์
การศึกษาและการฝึกอบรม
[] นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.) รุ่นที่ ๓๗ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
[] ประกาศนียบัตรวิชาว่าความ รุ่นที่ ๔๐ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
[] ประกาศนียบัตรผู้ผ่านการฝึกหัดงานในสำนักงานทนายความ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
[] หลักสูตรที่ปรึกษากฎหมายของศาลเยาวชนและครอบครัว รุ่น 4
[] โครงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพ (สำหรับวิชาชีพนักกฎหมาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
*************************
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556
ติดต่อ ผู้เขียนบล็อก
หากมีความประสงค์จะติดต่อผู้เขียน เพื่อสอบถาม ปรึกษาปัญหากฎหมาย คดีความต่างๆ หรือ มีอะไรแนะนำ สามารถติดต่อได้ E-mail
aegapoppp@gmail.com หรือ โทร. 089-9707519
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสายกฏหมาย
เว็บไซต์
- สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ และ สภาทนายความ
http://www.lawyers.in.th/new/
หรือ Facebook https://www.facebook.com/training.lawyer (สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความฯ)
- สำนักอบรมศึกษากฏหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และ เนติบัณฑิตยสภา
http://www.thethaibar.or.th/thaibarweb/index.php?id=home
- สำนักงานศาลยุติธรรม
http://www.coj.go.th/home/
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
http://joomla.ru.ac.th/law/
- สำนักงานอัยการสูงสุด
http://www.ago.go.th/index.php
- ศาลปกครอง
http://www.admincourt.go.th/00_web/
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
http://www.royalthaipolice.go.th/index01.php
- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
http://www.krisdika.go.th/wps/portal/general
- สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ และ สภาทนายความ
http://www.lawyers.in.th/new/
หรือ Facebook https://www.facebook.com/training.lawyer (สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความฯ)
- สำนักอบรมศึกษากฏหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และ เนติบัณฑิตยสภา
http://www.thethaibar.or.th/thaibarweb/index.php?id=home
- สำนักงานศาลยุติธรรม
http://www.coj.go.th/home/
- คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
http://joomla.ru.ac.th/law/
- สำนักงานอัยการสูงสุด
http://www.ago.go.th/index.php
- ศาลปกครอง
http://www.admincourt.go.th/00_web/
- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
http://www.royalthaipolice.go.th/index01.php
- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
http://www.krisdika.go.th/wps/portal/general
ประสบการณ์ตรงสอบปากเปล่า
เนื่องจากผู้ที่สอบใบอนุญาตว่าความได้นั้น ไม่ว่าจะสอบได้แบบรุ่นหรือแบบปีก็ตาม ต่อมาก็จะ
ต้องมีการสอบปากเปล่าอีกขั้นหนึ่ง ก่อนจะวันที่ได้รับประกาศนียบัตรฯ ซึ่งการสอบเปล่านั้นดูจากชื่อเชื่อ
ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นเต้น ไม่เป็นอันทำอะไร กังวลว่าจะจะถามเราแนวไหน ถามอะไร อายไม่
กล้าพูด กลัวพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ หรือกังวลไปสารพัดอย่าง ซึ่งจากที่เห็นหลายๆคนที่ผ่านตรงจุดนั้นมา
แล้ว ก็ล้วนแต่มาแชร์ในทำนองเดียวกันว่า มีอาการประมาณที่เล่ามาเมื่อกี้ ซึ่งประสบการณ์ตรงของผม
เอง ถามว่ามีความรู้สึกแค่ไหนในการสอบปากเปล่า ? ก็อยากจะตอบว่าผมไม่ได้มีอาการตื่นเต้นและ
กังวลมากไป แต่ก็มีอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะผมมีความคิดว่า ถึงอย่างไรๆวันนี้เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ อีก
ทั้งมีรุ่นพี่คนก่อนๆหน้ารายคนมักจะบอกต่อกันว่า "สุดท้ายก็ได้หมดทุกคนแหละ" ตรงนี้ลดความกดดัน
ผมไปได้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในใจลึกๆก็หวั่นๆนิดนึง
การสอบปากเปล่า โดยส่วนมากมักจะมีการพูดกันต่อๆกันมาว่า ไม่มีปัญหา เพราะอาจารย์เขา
พยายามอยากให้เด็กผ่านกันทุกคนถึงกับบอกว่า "ขอให้สอบข้อเขียนให้ได้ก็พอ ปากเปล่าไม่ใช่ปัญหา"
ซึ่งในทางความเป็นจริง ผมเองได้ข่าวจากรุ่นพี่บางคนว่า มีการเข้าห้องเย็นแล้วเหมือนกัน ขอขยาย
ความนิด ห้องเย็น คือ ห้องสอบปากเปล่าห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องสอบสำหรับคนที่สอบปากเปล่ากับ
กรรมการครั้งแรกไม่ผ่าน จึงส่งตัวมาสอบปากเปล่าห้องเย็นซึ่งมีกรรมการคุมสอบ 5 คน ในตอนแรกจะ
ได้สอบกับกรรมการ 2 คน แต่สำหรับคนไม่ผ่านปากเปล่า เคยได้ยินจากรุ่นพี่คนหนึ่งมาเหมือนกันว่า ไม่
ผ่านก็มี แต่อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน
จากการที่ผมได้ไปสอบปากเปล่ามานั้น เนื่องจากผมสามารถสอบใบอนุญาตว่าความได้ทั้ง 2
สนาม คือทั้งแบบรุ่น และ แบบปี ทางสำนักฝึกอบรมฯจึงให้กรณีผู้ผ่านการสอบทั้งสองสนามดังกล่าว
เข้าสอบของแบบปี จริงๆแล้วก่อนหน้าเคยมีรุ่นพี่บอกผมว่าของปีกับของรุ่น ของปีจะถามปากเปล่า
จำนวนข้อเยอะกว่าและเคี้ยวกว่าแบบรุ่น แต่ในรุ่นและปีที่ผมสอบนั้นเห็นว่าน่าจะใช้คำถามข้อเดียวกัน
ข้อนึง จะเล่าให้ต่อในตอนหลัง โดยสำนักฝึกอบรมฯได้จัดการสอบปากเปล่าที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยต้องไปรายงานตัวระหว่างเวลา 8.00 - 8.30 น เห็นว่าหากมาช้ากว่านี้จะไม่อนุญาตให้เข้าสอบไม่
ว่ากรณีใดๆ ผมต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เตรียมตัวอะไรเสร็จก็ออกไปกับแฟนเลย โดยนั่งแท็กซี่ไป
ตั้งแต่เวลา 6 โมงครึ่ง ปรากฏว่าไปถึงก่อนเวลาใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ไปถึงเวลา 7 โมง ซึ่งนั่งรถจากหน้า
รามคำแหงมา เหลือเวลาเพียบ (ก่อนหน้าแทบไม่ได้หลับนอนเลย เพราะช่วงนั้นบริหารการนอนไม่ดี
นอนผิดเวลา) พอมาถึงแรกๆไม่ค่อยเห็นใครมาเยอะมาก พอเวลาผ่านไปก็เดินไปหาตึกสอบโดยตาม
คนที่เดินกันต่อๆตามกัน ตึกอาคารสอบ หรูเอาการอยู่ สมแล้วเป็นเมืองทอง เมื่อเดินเข้าไปในตึกสอบ
ขึ้นบรรไดเลื่อนก็ปรากฏว่าเจอผู้คนอยู่กันเยอะมากอยู่ทุกทิศทางเลย ที่นั่งก็ไม่มีเพราะคนนั่งกันเต็มหมด
มีบางคนพาญาติพาเพื่อนฝูงกันมาด้วย เห็นอยู่มุมหนึ่งมีขนมปัง กาแฟ ตั้งไว้บนโต๊ะ ไว้สำหรับผู้ที่มา
สอบปากเปล่า ซึ่งก็หยิบมากินกัน แต่ผมไม่กินนะครับ เพราะไม่อยากกินเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นนะ
แต่รู้สึกกินอะไรไม่ได้มากกว่า ต่อมาผมก็พาแฟนไปหาที่นั่งกันพลางๆจนกว่าจะรอเรียกลงชื่อรายงานตัว
ก็ได้พบที่นั่งจนได้แต่เป็นพื้นปูนเย็นๆนะซึ่งผมก็ได้พบกับรุ่นพี่ผู้ใหญ่ 2 คน ก็นั่งใกล้ๆกันก็ชวนคุยไป
เรื่อยๆ(ดูเหมือนจะรบกวนเขาด้วยนะ เห็นกำลังอ่านหนังสือเคร่งๆกันอยู่)ก็คุยกันไปเรื่องขอบเขตสอบ
เปล่าและเรื่องอื่นๆกันไป จนมาถึงเวลาลงชื่อรายงานตัวก็เข้าแถวกันเยอะแยะเต็มกันไปหมด ของผมก็
ให้ไปรายงานของสำนักงาน 1 ปี (ตั๋วปี) แถว A ซึ่งมีคนไม่เยอะเท่าไหร่ ลงเสร็จก็รอเข้าห้อง ห้องที่ผม
เข้าไปนี้ไม่ใช่ห้องสอบทีนะครับ แต่เป็นห้องที่มานั่งเรียงกันมีคนชี้แจง แต่เวลาสอบจะนำพาไปสอบทีละ
แถว อาจารย์ที่ชี้แจงก็บรรยายสาธยายไปเรื่อยๆเหมือนชวนคุย แต่ก็มีพูดให้ใจหายนิดๆเหมือนกันเรื่อง
การสอบปากเปล่าไม่ผ่านอะไรประมาณนั้น
และแล้วเมื่อได้เวลาที่เขาเรียกให้เข้าสอบทีละแถว ลืมบอกไป ผู้ที่สอบของสำนักงาน 1 ปีจะนั่ง
แถวหน้า ส่วนแบบรุ่นจะนั่งข้างหลัง ดังนั้นแน่นอนว่าผมก็ได้สอบก่อนอยู่ต้นๆแถวเลยครับ แต่ของรุ่นเอง
ก็เรียกไปทีละแถวพร้อมๆกับแบบปีครับ แต่ของปีสอบไม่กี่คนเพราะคนสอบได้สนามนี้มีน้อย จึงไม่นานก็
หมด เมื่อเข้าสอบไปแล้วแถวแรก ต่อมาก็เรียกแถวที่สองเข้าห้องสอบ เชื่อไหมตัดอยู่ที่คนนั่งข้างผมพอ
ดีเป็นพี่ผู้ใหญ่ดูใจดีคนหนึ่ง ผมก็ชวนนั่งคุยกับเขาไปเรื่อยๆ และแล้วก็ถึงคิวแถวผมละครับ แถวที่ 3 วินา
ทีนั้น ผมก็นึกซะว่าเอาวะๆยังไงๆก็ต้องผ่านทุกคน อีกอย่างผมคิดว่าถ้าเราผ่านข้อเขียนมาได้ อีกทั้ง
ความรู้เราก็พอที่จะวัดดวงได้ ไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ เมื่อเข้าไปในห้องสอบแล้วจะให้นั่งรอหน้าห้อง
สอบซึ่งคั่นระหว่างห้องที่ผู้สอบนั่งรอสอบกับห้องสอบไว้ รอให้คนก่อนหน้าสอบเสร็จจึงได้เข้าไป และ
แล้วถึงคิวผม วินาทีนี้เป็นต้นไปอ่านกันดูๆนะครับถึงจุดคลายแม็กล่ะ!!!
"ผมได้เดินเข้าไปหาอาจารย์กรรมการซึ่งนั่งคู่กันอยู่ 2 ท่าน ดูท่านทั้งสองมีอายุแล้วและดูใจดี
ด้วยนะครับ ยิ้มแย้มดูไม่ดุด้วย คิดในใจน่าจะโชคดีละ ทันทีที่เดินไปที่นั่งสอบ ผมก็แสดงความเคารพ
ด้วยการไหว้ ท่านทั้งสองคนแล้วพูดว่า "สวัสดีครับอาจารย์" แล้วผมก็นั่งลงที่เก้าอี้ ท่านคนที่สอง ก็ถาม
ผมว่า"ชื่ออะไรครับ" ผมก็ตอบ และท่านก็ถามคำถามอื่นๆทั้งหมดว่า "จบมาจากที่มหาวิทยาลัยที่ไหน"
"จบปีไหน" "ฝึกที่สำนักงานไหนและอยู่แถวไหน" "คดีเข้าสำนักงานเยอะไหม" "เคยทำคดีให้เขาไหม"
ทั้งหมดที่ท่านคนที่สองถามมานั้นเป็นคำถามเกริ่นๆทั่วไปก่อน และผมก็ตอบตามที่ถามไปซึ่งก็ไม่ได้ยาก
อะไรตรงนี้ ต่อมาท่านคนที่สองจึงหยิบกระดาษคำถามขึ้นมา ปรากฏว่าคำถามที่ท่านจะหยิบมานั้น คน
ก่อนหน้าพากระดาษคำถามไปด้วย กำละ (-.-") ..... ท่านคนที่สองก็เลยไปให้เขาประกาศให้คนก่อน
หน้าเอากระดาษคำถามมาคืนด้วย ผมสันนิษฐานว่า สงสัยสอบผ่านดีใจตื่นเต้นเกินไปหน่อยนำเอา
กระดาษคำถามไปด้วย ผมขำในใจมาก ในระหว่างท่านคนที่สองเดินไปเพื่อขอให้เขาประชาสัมพันธ์ถึง
คนสอบก่อนหน้าผมให้เอากระดาษมาคืน จึงเหลือท่านแรกๆ จึงไม่ให้เสียเวลา จึงฉีกกระดาษคำถาม
แล้วให้ผมตอบตามที่ถามในกระดาษแทน ปรากฏว่าเมื่อผมดูคำถามแล้ว เป็นคำถามที่เห็นแล้ว ดีใจขึ้น
มาปั้บเลย เนื่องจากเป็นคำถามที่ผมเตรียมมาด้วย ซึ่งคำถามก็จะถามได้ใจความว่า "อธิบายถึงสิทธิของ
ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกขังตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 7/1 มีอะไรบ้าง" ซึ่งคำ
ถามนี้ผมจำตัวบทได้ก็เลยตอบไปค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งท่านแรกก็บอกผมว่า "ตอบถูกหมดเลยเนี้ย ไปได้
เลย" ผมก็ดีใจมากครับ ก็เดินออกไปตามสเต็ป จากนั้นก็เอาเอกสารที่เขาแจกข้างหน้ามากรอกเพื่อเสีย
ค่าทำเนียบรุ่นและค่าประกาศนียบัตรรวม 500 บาท ก่อนกลับด้วย เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็กลับบ้าน แต่
ก่อนกลับผมได้ฝากมือถือไว้กลับพนักงานของสภาทนายความ ซึ่งสอบเสร็จผมไม่ลืมกลับมาเอา จึง
อยากเตือนให้คนที่ไปสอบปากเปล่าเสร็จแล้วอย่าลืมเอาของที่ฝากด้วยนะครับ เดี๋ยวดีใจมากจนลืมของ
ที่ฝาก ส่วนปากเปล่าที่ผมสอบเสร็จนั้นใช้เวลาเร็วมากครับ เนื่องจากได้สอบเป็นคนต้นๆของแถวด้วย
ผมได้กลับบ้านประมาณ 9 โมงกว่าๆเองครับ เห็นว่าสอบเสร็จทั้งหมดก็ประมาณบ่ายๆ ก็ถือว่าคนที่สอบ
หลังๆก็ได้กลับช้านะครับ "
และทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผมครับในวันสอบปากเปล่าทนายความ จึงขอแชร์ให้
คนที่อยากรู้ว่าบรรยากาศการสอบเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นในวันสอบบ้าง ขอบคุณที่ได้อ่าน
บทความครับ
ต้องมีการสอบปากเปล่าอีกขั้นหนึ่ง ก่อนจะวันที่ได้รับประกาศนียบัตรฯ ซึ่งการสอบเปล่านั้นดูจากชื่อเชื่อ
ว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตื่นเต้น ไม่เป็นอันทำอะไร กังวลว่าจะจะถามเราแนวไหน ถามอะไร อายไม่
กล้าพูด กลัวพูดไม่ถูก พูดไม่ได้ หรือกังวลไปสารพัดอย่าง ซึ่งจากที่เห็นหลายๆคนที่ผ่านตรงจุดนั้นมา
แล้ว ก็ล้วนแต่มาแชร์ในทำนองเดียวกันว่า มีอาการประมาณที่เล่ามาเมื่อกี้ ซึ่งประสบการณ์ตรงของผม
เอง ถามว่ามีความรู้สึกแค่ไหนในการสอบปากเปล่า ? ก็อยากจะตอบว่าผมไม่ได้มีอาการตื่นเต้นและ
กังวลมากไป แต่ก็มีอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะผมมีความคิดว่า ถึงอย่างไรๆวันนี้เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ อีก
ทั้งมีรุ่นพี่คนก่อนๆหน้ารายคนมักจะบอกต่อกันว่า "สุดท้ายก็ได้หมดทุกคนแหละ" ตรงนี้ลดความกดดัน
ผมไปได้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในใจลึกๆก็หวั่นๆนิดนึง
การสอบปากเปล่า โดยส่วนมากมักจะมีการพูดกันต่อๆกันมาว่า ไม่มีปัญหา เพราะอาจารย์เขา
พยายามอยากให้เด็กผ่านกันทุกคนถึงกับบอกว่า "ขอให้สอบข้อเขียนให้ได้ก็พอ ปากเปล่าไม่ใช่ปัญหา"
ซึ่งในทางความเป็นจริง ผมเองได้ข่าวจากรุ่นพี่บางคนว่า มีการเข้าห้องเย็นแล้วเหมือนกัน ขอขยาย
ความนิด ห้องเย็น คือ ห้องสอบปากเปล่าห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องสอบสำหรับคนที่สอบปากเปล่ากับ
กรรมการครั้งแรกไม่ผ่าน จึงส่งตัวมาสอบปากเปล่าห้องเย็นซึ่งมีกรรมการคุมสอบ 5 คน ในตอนแรกจะ
ได้สอบกับกรรมการ 2 คน แต่สำหรับคนไม่ผ่านปากเปล่า เคยได้ยินจากรุ่นพี่คนหนึ่งมาเหมือนกันว่า ไม่
ผ่านก็มี แต่อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน
จากการที่ผมได้ไปสอบปากเปล่ามานั้น เนื่องจากผมสามารถสอบใบอนุญาตว่าความได้ทั้ง 2
สนาม คือทั้งแบบรุ่น และ แบบปี ทางสำนักฝึกอบรมฯจึงให้กรณีผู้ผ่านการสอบทั้งสองสนามดังกล่าว
เข้าสอบของแบบปี จริงๆแล้วก่อนหน้าเคยมีรุ่นพี่บอกผมว่าของปีกับของรุ่น ของปีจะถามปากเปล่า
จำนวนข้อเยอะกว่าและเคี้ยวกว่าแบบรุ่น แต่ในรุ่นและปีที่ผมสอบนั้นเห็นว่าน่าจะใช้คำถามข้อเดียวกัน
ข้อนึง จะเล่าให้ต่อในตอนหลัง โดยสำนักฝึกอบรมฯได้จัดการสอบปากเปล่าที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
โดยต้องไปรายงานตัวระหว่างเวลา 8.00 - 8.30 น เห็นว่าหากมาช้ากว่านี้จะไม่อนุญาตให้เข้าสอบไม่
ว่ากรณีใดๆ ผมต้องรีบตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เตรียมตัวอะไรเสร็จก็ออกไปกับแฟนเลย โดยนั่งแท็กซี่ไป
ตั้งแต่เวลา 6 โมงครึ่ง ปรากฏว่าไปถึงก่อนเวลาใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ไปถึงเวลา 7 โมง ซึ่งนั่งรถจากหน้า
รามคำแหงมา เหลือเวลาเพียบ (ก่อนหน้าแทบไม่ได้หลับนอนเลย เพราะช่วงนั้นบริหารการนอนไม่ดี
นอนผิดเวลา) พอมาถึงแรกๆไม่ค่อยเห็นใครมาเยอะมาก พอเวลาผ่านไปก็เดินไปหาตึกสอบโดยตาม
คนที่เดินกันต่อๆตามกัน ตึกอาคารสอบ หรูเอาการอยู่ สมแล้วเป็นเมืองทอง เมื่อเดินเข้าไปในตึกสอบ
ขึ้นบรรไดเลื่อนก็ปรากฏว่าเจอผู้คนอยู่กันเยอะมากอยู่ทุกทิศทางเลย ที่นั่งก็ไม่มีเพราะคนนั่งกันเต็มหมด
มีบางคนพาญาติพาเพื่อนฝูงกันมาด้วย เห็นอยู่มุมหนึ่งมีขนมปัง กาแฟ ตั้งไว้บนโต๊ะ ไว้สำหรับผู้ที่มา
สอบปากเปล่า ซึ่งก็หยิบมากินกัน แต่ผมไม่กินนะครับ เพราะไม่อยากกินเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นนะ
แต่รู้สึกกินอะไรไม่ได้มากกว่า ต่อมาผมก็พาแฟนไปหาที่นั่งกันพลางๆจนกว่าจะรอเรียกลงชื่อรายงานตัว
ก็ได้พบที่นั่งจนได้แต่เป็นพื้นปูนเย็นๆนะซึ่งผมก็ได้พบกับรุ่นพี่ผู้ใหญ่ 2 คน ก็นั่งใกล้ๆกันก็ชวนคุยไป
เรื่อยๆ(ดูเหมือนจะรบกวนเขาด้วยนะ เห็นกำลังอ่านหนังสือเคร่งๆกันอยู่)ก็คุยกันไปเรื่องขอบเขตสอบ
เปล่าและเรื่องอื่นๆกันไป จนมาถึงเวลาลงชื่อรายงานตัวก็เข้าแถวกันเยอะแยะเต็มกันไปหมด ของผมก็
ให้ไปรายงานของสำนักงาน 1 ปี (ตั๋วปี) แถว A ซึ่งมีคนไม่เยอะเท่าไหร่ ลงเสร็จก็รอเข้าห้อง ห้องที่ผม
เข้าไปนี้ไม่ใช่ห้องสอบทีนะครับ แต่เป็นห้องที่มานั่งเรียงกันมีคนชี้แจง แต่เวลาสอบจะนำพาไปสอบทีละ
แถว อาจารย์ที่ชี้แจงก็บรรยายสาธยายไปเรื่อยๆเหมือนชวนคุย แต่ก็มีพูดให้ใจหายนิดๆเหมือนกันเรื่อง
การสอบปากเปล่าไม่ผ่านอะไรประมาณนั้น
และแล้วเมื่อได้เวลาที่เขาเรียกให้เข้าสอบทีละแถว ลืมบอกไป ผู้ที่สอบของสำนักงาน 1 ปีจะนั่ง
แถวหน้า ส่วนแบบรุ่นจะนั่งข้างหลัง ดังนั้นแน่นอนว่าผมก็ได้สอบก่อนอยู่ต้นๆแถวเลยครับ แต่ของรุ่นเอง
ก็เรียกไปทีละแถวพร้อมๆกับแบบปีครับ แต่ของปีสอบไม่กี่คนเพราะคนสอบได้สนามนี้มีน้อย จึงไม่นานก็
หมด เมื่อเข้าสอบไปแล้วแถวแรก ต่อมาก็เรียกแถวที่สองเข้าห้องสอบ เชื่อไหมตัดอยู่ที่คนนั่งข้างผมพอ
ดีเป็นพี่ผู้ใหญ่ดูใจดีคนหนึ่ง ผมก็ชวนนั่งคุยกับเขาไปเรื่อยๆ และแล้วก็ถึงคิวแถวผมละครับ แถวที่ 3 วินา
ทีนั้น ผมก็นึกซะว่าเอาวะๆยังไงๆก็ต้องผ่านทุกคน อีกอย่างผมคิดว่าถ้าเราผ่านข้อเขียนมาได้ อีกทั้ง
ความรู้เราก็พอที่จะวัดดวงได้ ไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ เมื่อเข้าไปในห้องสอบแล้วจะให้นั่งรอหน้าห้อง
สอบซึ่งคั่นระหว่างห้องที่ผู้สอบนั่งรอสอบกับห้องสอบไว้ รอให้คนก่อนหน้าสอบเสร็จจึงได้เข้าไป และ
แล้วถึงคิวผม วินาทีนี้เป็นต้นไปอ่านกันดูๆนะครับถึงจุดคลายแม็กล่ะ!!!
"ผมได้เดินเข้าไปหาอาจารย์กรรมการซึ่งนั่งคู่กันอยู่ 2 ท่าน ดูท่านทั้งสองมีอายุแล้วและดูใจดี
ด้วยนะครับ ยิ้มแย้มดูไม่ดุด้วย คิดในใจน่าจะโชคดีละ ทันทีที่เดินไปที่นั่งสอบ ผมก็แสดงความเคารพ
ด้วยการไหว้ ท่านทั้งสองคนแล้วพูดว่า "สวัสดีครับอาจารย์" แล้วผมก็นั่งลงที่เก้าอี้ ท่านคนที่สอง ก็ถาม
ผมว่า"ชื่ออะไรครับ" ผมก็ตอบ และท่านก็ถามคำถามอื่นๆทั้งหมดว่า "จบมาจากที่มหาวิทยาลัยที่ไหน"
"จบปีไหน" "ฝึกที่สำนักงานไหนและอยู่แถวไหน" "คดีเข้าสำนักงานเยอะไหม" "เคยทำคดีให้เขาไหม"
ทั้งหมดที่ท่านคนที่สองถามมานั้นเป็นคำถามเกริ่นๆทั่วไปก่อน และผมก็ตอบตามที่ถามไปซึ่งก็ไม่ได้ยาก
อะไรตรงนี้ ต่อมาท่านคนที่สองจึงหยิบกระดาษคำถามขึ้นมา ปรากฏว่าคำถามที่ท่านจะหยิบมานั้น คน
ก่อนหน้าพากระดาษคำถามไปด้วย กำละ (-.-") ..... ท่านคนที่สองก็เลยไปให้เขาประกาศให้คนก่อน
หน้าเอากระดาษคำถามมาคืนด้วย ผมสันนิษฐานว่า สงสัยสอบผ่านดีใจตื่นเต้นเกินไปหน่อยนำเอา
กระดาษคำถามไปด้วย ผมขำในใจมาก ในระหว่างท่านคนที่สองเดินไปเพื่อขอให้เขาประชาสัมพันธ์ถึง
คนสอบก่อนหน้าผมให้เอากระดาษมาคืน จึงเหลือท่านแรกๆ จึงไม่ให้เสียเวลา จึงฉีกกระดาษคำถาม
แล้วให้ผมตอบตามที่ถามในกระดาษแทน ปรากฏว่าเมื่อผมดูคำถามแล้ว เป็นคำถามที่เห็นแล้ว ดีใจขึ้น
มาปั้บเลย เนื่องจากเป็นคำถามที่ผมเตรียมมาด้วย ซึ่งคำถามก็จะถามได้ใจความว่า "อธิบายถึงสิทธิของ
ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกขังตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา 7/1 มีอะไรบ้าง" ซึ่งคำ
ถามนี้ผมจำตัวบทได้ก็เลยตอบไปค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งท่านแรกก็บอกผมว่า "ตอบถูกหมดเลยเนี้ย ไปได้
เลย" ผมก็ดีใจมากครับ ก็เดินออกไปตามสเต็ป จากนั้นก็เอาเอกสารที่เขาแจกข้างหน้ามากรอกเพื่อเสีย
ค่าทำเนียบรุ่นและค่าประกาศนียบัตรรวม 500 บาท ก่อนกลับด้วย เมื่อเสร็จภารกิจแล้วก็กลับบ้าน แต่
ก่อนกลับผมได้ฝากมือถือไว้กลับพนักงานของสภาทนายความ ซึ่งสอบเสร็จผมไม่ลืมกลับมาเอา จึง
อยากเตือนให้คนที่ไปสอบปากเปล่าเสร็จแล้วอย่าลืมเอาของที่ฝากด้วยนะครับ เดี๋ยวดีใจมากจนลืมของ
ที่ฝาก ส่วนปากเปล่าที่ผมสอบเสร็จนั้นใช้เวลาเร็วมากครับ เนื่องจากได้สอบเป็นคนต้นๆของแถวด้วย
ผมได้กลับบ้านประมาณ 9 โมงกว่าๆเองครับ เห็นว่าสอบเสร็จทั้งหมดก็ประมาณบ่ายๆ ก็ถือว่าคนที่สอบ
หลังๆก็ได้กลับช้านะครับ "
****************
และทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ตรงของผมครับในวันสอบปากเปล่าทนายความ จึงขอแชร์ให้
คนที่อยากรู้ว่าบรรยากาศการสอบเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นในวันสอบบ้าง ขอบคุณที่ได้อ่าน
บทความครับ
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556
คำถามที่ถามบ่อย ?
Q:การขอตรวจสมุดคำตอบนั้น เมื่อได้รับสมุดคำตอบแล้วจะขอคัดถ่ายสำเนาจากสมุดคำตอบได้หรือ
ไม่ เพียงใด
A:ไม่ได้ แต่ไม่ห้ามที่จะขอคัดเขียนหรือจดใส่กระดาษได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ถ้าสอบไม่ผ่านภาคปฏิบัติหรือขาดสอบนั้น จะขอรักษาสถานภาพได้หรือไม่
A:ได้ ไม่ต้องสอบใหม่ภาคทฤษฎี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:สำหรับการสอบแบบสำนักงาน 1 ปี ถ้าไม่ผ่านจะมีสิทธิสอบครั้งต่อไปไหม แล้วต้องลงฝึกงานใหม่
หรือไม่
A:มีสิทธิ และ ไม่ต้องฝึกงานใหม่ รอทางสำนักฝึกอบรมฯประกาศลงทะเบียนสอบครั้งต่อไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ข้อสอบแบบรุ่นและแบบสำนักงาน 1 ปี เหมือนกันหรือไม่
A:ข้อสอบแนวเดียวกัน แต่กรณีการสอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีจะเขียนลงในสมุดคำตอบ แต่ภาคปฏิบัติและ
แบบสำนักงาน 1 ปี เขียนลงในแบบพิมพ์ศาลและกระดาษเปล่า เหมือนกัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ข้อสอบแบบรุ่นกับแบบปี แบบไหนยากกว่ากัน
A:ไม่แน่นอน(ความเห็นส่วนตัว) โดยส่วนมากจะพูดกันว่าแบบปียากกว่า แต่อาจจะไม่เสมอไป เพราะว่า
แบบรุ่นบางรุ่นถามยากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแบบปี
***ผู้เขียนมีเหตุผลสนับสนุนอยู่บ้าง อย่างกรณีมีผู้สอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ผ่าน
แต่สามารถสอบแบบปีได้(ผ่าน) และ อย่างล่าสุดครั้งที่ 2/56 มีผู้ผ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าไม่แน่นอนว่าแบบปีจะยากกว่าแบบรุ่น มิหนำซ้ำหลังๆมานี้แบบรุ่นมีผู้ผ่านค่อนข้างน้อย
***การคำนวณผู้ผ่านสำหรับแบบรุ่น อย่าลืมว่าต้องเฉลี่ยตั้งแต่คนสอบผ่านภาคทฤษฎีก่อนผ่านจำนวน
เท่าใด และเอาจำนวนนั้นมาคำนวณต่อในภาคปฏิบัติก็จะมีผู้ผ่านน้อยกว่าเดิม มีการกลั่นกรองถึง 2 ชั้น
ก็จะทราบยอดคนผ่านทั้งหมด สรุปง่ายๆ คนสอบภาคทฤษฎีมีจำนวนทั้งหมดเท่าใด เอามาเฉลี่ยดูกับคน
ที่สอบผ่านภาคปฏิบัติเท่าใดก็จะทราบเปอเซ็นต์ที่แท้จริง ประกอบกับว่า คนสอบแบบปีค่อนข้างน้อยกว่า
แบบรุ่นเยอะมาก จึงดูเหมือนว่าแบบปียากกว่าครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:การสอบปากเปล่ายากหรือไม่
A:ไม่น่าเกินความสามารถ เพราะเมื่อสอบข้อเขียนแบบรุ่นหรือแบบปีมาได้แล้ว การสอบปากเปล่าจึงไม่
มีอะไรเกินความสามารถ ไปลองจะรู้เอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ขอคำแนะนำ แนวการเขียนตอบข้อสอบทนายความ
A:ตามเว็บนี้เลย ดูตามหัวข้อต่างๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:สถานที่สอบของแบบรุ่นและแบบปีที่เดียวกันหรือไม่
A:สถานที่เดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (เดิมแบบปีสอบที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:การเขียนตอบระหว่างการสอบทนายกับเนติฯ อันไหนใช้เวลาเขียนมากกว่ากันจนอาจทำให้เขียนไม่
ทันเวลา
A:การสอบเนติฯใช้เวลามากกว่า เพราะมีคนสอบหลายคนทำไม่ทันเวลา แต่การสอบทนายไม่พบเจอ
มากเท่าที่เห็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ผู้ที่สอบผ่านแบบรุ่นกับแบบปีมีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกันหรือไม่
A:มีศักดิ์และสิทธิ์ เหมือนกันทุกประการ ที่สามารถจะจดทะเบียนและอนุญาตให้เป็นทนายความได้ ตาม
กฏหมาย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:เกี่ยวกับคำว่า "ตั๋วทนาย" เป็นคำที่ใช้ได้เป็นทางการ หรือ เป็นคำที่ถูกต้องหรือไม่
A:อันนี้เป็นปัญหาที่มีกันมาตั้งยาวนานมาก ต้องทำความเข้าใจใหม่ เนื่องจากคำว่า "ตั๋วทนาย" ทาง
สภาทนายความจะชี้แจงให้ทราบว่า มีแต่ "ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ" ดังนั้น หากเวลาติดต่อการใช้
คำที่ถูกต้องหรือคำที่เป็นทางการนั้น ไม่ควรใช้คำว่า "ตั๋วทนาย" อาจจะใช้คำอื่น ซึ่งแยกเป็นประเภท 2
ประเภท คือ
- ประเภทรุ่น อาจจะเรียกว่า "สมัครสอบทนายความแบบ/ประเภทรุ่น" "สมัครสอบทนายภาคทฤษฎี"
หรือ ถ้าลงทะเบียนภาคปฏิบัติ เช่น "มาลงทะเบียนภาคปฏิบัติ" เป็นต้น
- ประเภทปี อาจจะเรียกว่า "ขอลงทะเบียนสอบของสำนักงาน 1 ปี" "สอบทนายความประเภทปี" เป็นต้น
***เพิ่มเติม เนื่องจากผู้เขียนในตอนที่อบรมจริยธรรมทนายความ ท่าน อ.เดชอุดม ไกรฤทธิ์ ได้บอกว่า
การใช้คำว่า ตํ๋วทนาย นั้นถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหรือดูถูกในวิชาชีพทนายความ เพราะใบอนุญาต
วิชาชีพทนายความเรานั้นมีค่ามากว่า "ตั๋ว" ซะอีก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
************หากมีคำถามไหนที่ถามบ่อยจะนำมาโพสต์ให้ในภายหลังอีก(ยังมีการอัพเดท)
ไม่ เพียงใด
A:ไม่ได้ แต่ไม่ห้ามที่จะขอคัดเขียนหรือจดใส่กระดาษได้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ถ้าสอบไม่ผ่านภาคปฏิบัติหรือขาดสอบนั้น จะขอรักษาสถานภาพได้หรือไม่
A:ได้ ไม่ต้องสอบใหม่ภาคทฤษฎี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:สำหรับการสอบแบบสำนักงาน 1 ปี ถ้าไม่ผ่านจะมีสิทธิสอบครั้งต่อไปไหม แล้วต้องลงฝึกงานใหม่
หรือไม่
A:มีสิทธิ และ ไม่ต้องฝึกงานใหม่ รอทางสำนักฝึกอบรมฯประกาศลงทะเบียนสอบครั้งต่อไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ข้อสอบแบบรุ่นและแบบสำนักงาน 1 ปี เหมือนกันหรือไม่
A:ข้อสอบแนวเดียวกัน แต่กรณีการสอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีจะเขียนลงในสมุดคำตอบ แต่ภาคปฏิบัติและ
แบบสำนักงาน 1 ปี เขียนลงในแบบพิมพ์ศาลและกระดาษเปล่า เหมือนกัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ข้อสอบแบบรุ่นกับแบบปี แบบไหนยากกว่ากัน
A:ไม่แน่นอน(ความเห็นส่วนตัว) โดยส่วนมากจะพูดกันว่าแบบปียากกว่า แต่อาจจะไม่เสมอไป เพราะว่า
แบบรุ่นบางรุ่นถามยากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแบบปี
***ผู้เขียนมีเหตุผลสนับสนุนอยู่บ้าง อย่างกรณีมีผู้สอบแบบรุ่นภาคทฤษฎีมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่ผ่าน
แต่สามารถสอบแบบปีได้(ผ่าน) และ อย่างล่าสุดครั้งที่ 2/56 มีผู้ผ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าไม่แน่นอนว่าแบบปีจะยากกว่าแบบรุ่น มิหนำซ้ำหลังๆมานี้แบบรุ่นมีผู้ผ่านค่อนข้างน้อย
***การคำนวณผู้ผ่านสำหรับแบบรุ่น อย่าลืมว่าต้องเฉลี่ยตั้งแต่คนสอบผ่านภาคทฤษฎีก่อนผ่านจำนวน
เท่าใด และเอาจำนวนนั้นมาคำนวณต่อในภาคปฏิบัติก็จะมีผู้ผ่านน้อยกว่าเดิม มีการกลั่นกรองถึง 2 ชั้น
ก็จะทราบยอดคนผ่านทั้งหมด สรุปง่ายๆ คนสอบภาคทฤษฎีมีจำนวนทั้งหมดเท่าใด เอามาเฉลี่ยดูกับคน
ที่สอบผ่านภาคปฏิบัติเท่าใดก็จะทราบเปอเซ็นต์ที่แท้จริง ประกอบกับว่า คนสอบแบบปีค่อนข้างน้อยกว่า
แบบรุ่นเยอะมาก จึงดูเหมือนว่าแบบปียากกว่าครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:การสอบปากเปล่ายากหรือไม่
A:ไม่น่าเกินความสามารถ เพราะเมื่อสอบข้อเขียนแบบรุ่นหรือแบบปีมาได้แล้ว การสอบปากเปล่าจึงไม่
มีอะไรเกินความสามารถ ไปลองจะรู้เอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ขอคำแนะนำ แนวการเขียนตอบข้อสอบทนายความ
A:ตามเว็บนี้เลย ดูตามหัวข้อต่างๆ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:สถานที่สอบของแบบรุ่นและแบบปีที่เดียวกันหรือไม่
A:สถานที่เดียวกัน ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต (เดิมแบบปีสอบที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:การเขียนตอบระหว่างการสอบทนายกับเนติฯ อันไหนใช้เวลาเขียนมากกว่ากันจนอาจทำให้เขียนไม่
ทันเวลา
A:การสอบเนติฯใช้เวลามากกว่า เพราะมีคนสอบหลายคนทำไม่ทันเวลา แต่การสอบทนายไม่พบเจอ
มากเท่าที่เห็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:ผู้ที่สอบผ่านแบบรุ่นกับแบบปีมีศักดิ์และสิทธิ์เท่าเทียมกันหรือไม่
A:มีศักดิ์และสิทธิ์ เหมือนกันทุกประการ ที่สามารถจะจดทะเบียนและอนุญาตให้เป็นทนายความได้ ตาม
กฏหมาย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Q:เกี่ยวกับคำว่า "ตั๋วทนาย" เป็นคำที่ใช้ได้เป็นทางการ หรือ เป็นคำที่ถูกต้องหรือไม่
A:อันนี้เป็นปัญหาที่มีกันมาตั้งยาวนานมาก ต้องทำความเข้าใจใหม่ เนื่องจากคำว่า "ตั๋วทนาย" ทาง
สภาทนายความจะชี้แจงให้ทราบว่า มีแต่ "ใบอนุญาตให้เป็นทนายความ" ดังนั้น หากเวลาติดต่อการใช้
คำที่ถูกต้องหรือคำที่เป็นทางการนั้น ไม่ควรใช้คำว่า "ตั๋วทนาย" อาจจะใช้คำอื่น ซึ่งแยกเป็นประเภท 2
ประเภท คือ
- ประเภทรุ่น อาจจะเรียกว่า "สมัครสอบทนายความแบบ/ประเภทรุ่น" "สมัครสอบทนายภาคทฤษฎี"
หรือ ถ้าลงทะเบียนภาคปฏิบัติ เช่น "มาลงทะเบียนภาคปฏิบัติ" เป็นต้น
- ประเภทปี อาจจะเรียกว่า "ขอลงทะเบียนสอบของสำนักงาน 1 ปี" "สอบทนายความประเภทปี" เป็นต้น
***เพิ่มเติม เนื่องจากผู้เขียนในตอนที่อบรมจริยธรรมทนายความ ท่าน อ.เดชอุดม ไกรฤทธิ์ ได้บอกว่า
การใช้คำว่า ตํ๋วทนาย นั้นถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหรือดูถูกในวิชาชีพทนายความ เพราะใบอนุญาต
วิชาชีพทนายความเรานั้นมีค่ามากว่า "ตั๋ว" ซะอีก
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
************หากมีคำถามไหนที่ถามบ่อยจะนำมาโพสต์ให้ในภายหลังอีก(ยังมีการอัพเดท)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)